เจ้าของธุรกิจทั้งในนามบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล มักนิยมทำการตลาดผ่านโซเชียล เนื่องจากสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายจำนวนมากและรวดเร็ว แต่เจ้าของธุรกิจอาจจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับรายจ่ายตรงนี้มากเท่าไหร่
แต่หลังจากมีการประกาศใช้กฎหมาย e-Service คือผู้ให้บริการอิเล็กทรอนิกส์ประเภทต่างๆ จะเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จากผู้ซื้อโฆษณาที่ใช้ช่องทางการโปรโมตทางออนไลน์ เช่น Facebook Google IG Youtube Line@ เป็นต้น
ดังนั้น เจ้าของธุรกิจที่ซื้อโฆษณาผ่านช่องทางออนไลน์ อาจจะต้องเสียค่าซื้อโฆษณาอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้น ก็จะเริ่มหันมาสนใจว่า รายจ่ายเหล่านี้สามารถนำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายของกิจการได้หรือไม่ หรือภาษีซื้อที่จ่ายไปนำมาใช้ประโยชน์ทางภาษีได้บ้างหรือไม่ ซึ่งสามารถตามไปหาคำตอบพร้อมกันได้ที่นี่
รายจ่ายจากการซื้อโฆษณาออนไลน์สำหรับเจ้าของธุรกิจในนามบุคคลธรรมดา หรือเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สามารถนำมาใช้ประโยชน์ทางภาษีได้ โดยแบ่งเป็น 2 กรณี คือ
1.หักค่าใช้จ่ายแบบเหมา กรณีที่เจ้าของธุรกิจเลือกหักค่าใช้จ่ายแบบเหมา จะไม่สามารถนำค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการซื้อโฆษณาออนไลน์มาหักเป็นค่าใช้จ่ายได้ เนื่องจากค่าใช้จ่ายนี้ถูกรวมอยู่ในค่าใช้จ่ายที่หักเหมาไปแล้วทั้งหมด
2.หักค่าใช้จ่ายตามจริง หากเจ้าของธุรกิจเลือกหักค่าใช้จ่ายตามจริง สามารถนำค่าซื้อโฆษณาออนไลน์ที่จ่ายไป มาหักเป็นค่าใช้จ่ายได้ แต่จะต้องเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับธุรกิจจริง พร้อมกับมีหลักฐานการจ่ายเงินที่ชัดเจน โดยต้องระบุวัน-เดือน-ปีของค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น จำนวนเงิน รวมถึงชื่อผู้ซื้อโฆษณา ซึ่งต้องเป็นชื่อเจ้าของธุรกิจ
รายจ่ายจากการซื้อโฆษณาออนไลน์สำหรับกิจการที่จดบริษัทเป็นนิติบุคคล จะสามารถนำมาหักค่าใช้จ่ายได้ ต้องมีหลักฐานการจ่ายโฆษณาที่ยืนยันได้ว่า เป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงและเพื่อกิจการ หรือเป็นการจ่ายผ่านบัตรเครดิตในนามกิจการ จึงจะสามารถนำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายจากการซื้อโฆษณาออนไลน์ได้ หรือต้องมีความชัดเจนในชื่อบัญชีที่เป็นผู้รับเงิน
ทว่าหากการซื้อโฆษณาออนไลน์นั้นเป็นการจ่ายเพื่อกิจการ ไม่ได้ถูกจ่ายผ่านบัตรเครดิตในนามกิจการ แต่ใบเสร็จรับเงินที่ได้รับเป็นใบเสร็จรับเงินที่ออกในนามกิจการ ก็สามารถนำรายจ่ายนี้มาหักค่าใช้จ่ายของกิจการได้เช่นกัน
อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า เมื่อมีกฎหมาย e-Service เกิดขึ้น ทำให้ผู้ให้บริการอิเล็กทรอนิกส์ต้องเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม จากผู้ซื้อโฆษณาออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น Facebook Google IG Youtube Line@ ฯลฯ และทางผู้ให้บริการจะออกใบกำกับภาษี เพื่อให้กิจการนำไปใช้ประโยชน์ทางภาษี โดยสามารถนำไปใช้ได้ต่างกันดังนี้
1.ธุรกิจที่ไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ใบกำกับภาษีที่ได้รับจากการซื้อโฆษณาออนไลน์ จะไม่สามารถนำภาษีซื้อมาหักภาษีขาย เครดิตภาษีขาย หรือขอคืนภาษีได้
2.ธุรกิจที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม สามารถนำไปใบกำกับภาษีไปใช้ประโยชน์ทางภาษีได้ เช่น นำไปหักค่าใช้จ่าย หรือนำภาษีซื้อมาหักภาษีขาย เครดิตภาษี ตลอดจนขอคืนภาษีได้ แต่การขอคืนภาษีซื้อ หรือนำค่าโฆษณามาหักค่าใช้จ่าย กิจการจะต้องทราบว่าบริษัทที่จ่ายค่าโฆษณาออนไลน์ไปนั้น เป็นบริษัทในประเทศไทยหรือต่างประเทศ
- หากซื้อโฆษณาจากบริษัทในประเทศไทย กิจการสามารถนำใบกำกับภาษีเต็มรูปที่ได้รับจากผู้ให้บริการ ทำการยื่นขอคืนภาษีได้ตามปกติ
- ส่วนการซื้อโฆษณาจากบริษัทต่างประเทศ กฎหมายกำหนดให้ผู้ที่จ่ายเงินซื้อโฆษณาจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบภาษีมูลค่าเพิ่มแทนผู้ให้บริการในต่างประเทศ โดยบริษัทต่างประเทศจะไม่บวกภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่กิจการจะต้องทำการยื่น ภ.พ.36 ภายใน 7 วัน นับตั้งแต่สิ้นเดือนที่มีการจ่ายค่าโฆษณา และชำระภาษีมูลค่าเพิ่ม7% แทน แต่สามารถนำใบกำกับภาษีซื้อมาใช้ได้ภายใน 6 เดือนถัดไป
สรุป
กิจการที่ซื้อโฆษณาออนไลน์ จะสามารถนำรายจ่ายมาหักค่าใช้จ่ายของกิจการได้ ต้องประกอบไปด้วยดังนี้
- ต้องเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อประโยชน์ของกิจการ
- เป็นรายจ่ายที่เกี่ยวของกับการสร้างรายได้ เพื่อกำไรของกิจการ
- เป็นรายจ่ายเพื่อมุ่งหวังยอดขายให้กิจการ
- เพื่อเพิ่มกลุ่มลูกค้าในประเทศ
- หลักฐานการจ่ายค่าโฆษณาต้องชัดเจน และมีหลักฐานที่สามารถพิสูจน์ได้
- กิจการจะต้องใช้อัตราแลกเปลี่ยนตามมาตรา 9 แห่งประมวลรัษฎากร ของวันที่ได้ทำการชำระเงินค่าบริการจริง ในการคำนวณอัตราแลกเปลี่ยนดอลลาร์สหรัฐเป็นเงินบาท เพื่อใช้ในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องนำส่งให้แก่กรมสรรพากร
- กิจการต้องนำส่งเงินภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% โดยยื่นแบบ ภ.พ.36 และมีสิทธิ์นำใบกำกับภาษีซื้อมาขอคืนภาษีได้ โดยเอกสารที่ต้องใช้และขั้นตอนการกรอกประกอบด้วย
เอกสารที่ต้องใช้
1) ใบเสร็จหรือหลักฐานการจ่ายเงินที่เป็น ‘ชื่อเจ้าของกิจการ’ หรือ ‘ชื่อบริษัท’
2) แบบ ภ.พ.36
ขั้นตอนการกรอกข้อมูล
1) กรอกข้อมูลผู้นำส่งภาษีให้ครบ ซึ่งจะเป็นข้อมูลของเจ้าของกิจการและบริษัท
2) กรอกข้อมูลการจ่ายเงินซื้อสินค้าและบริการให้ครบ พร้อมระบุเป็น “ค่าโฆษณา”
3) กรอกภาษีมูลค่าเพิ่มโดยมีสูตรคือ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น x 7% = ภาษีมูลค่าเพิ่ม
ดังนั้น หากเข้าเงื่อนไขดังกล่าว กิจการสามารถนำค่าใช้จ่ายจาการซื้อโฆษณาออนไลน์มาใช้ประโยชน์ทางภาษีได้ โดยเฉพาะธุรกิจที่ยังไม่ได้จดภาษีมูลค่าเพิ่ม ทั้งในนามบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล หากปกติต้องใช้ใบกำกับภาษีในการประกอบธุรกิจอยู่แล้ว ก็ควรขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือเมื่อมีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาท เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือกับคู่ค้าทางธุรกิจ และช่วยประหยัดภาษีได้อีกทางหนึ่ง
Source : Inflow Accounting