สำหรับตอนนี้จะมาพูดถึงเรื่องของภาษีธุรกิจอีกเรื่องหนึ่งที่เจ้าของกิจการส่วนใหญ่ที่เป็นนิติบุคคลอย่าง ห้างหุ้นส่วน หรือ บริษัท ทั้งหลายนั้นมักจะละเลยและมองข้ามไป จนทำให้ต้องเสียภาษีมากขึ้นกว่าเดิมครับ
สำหรับความเข้าใจผิดอีกหนึ่งเรื่องที่เจ้าของธุรกิจหลายๆคนมักจะเข้าใจผิด นั่นคือ เรื่องของการที่วางแผนทำให้กิจการของตัวเองนั้น “ขาดทุน” เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเสียภาษี จนมีคำพูดติดปากที่ชอบบอกกับฝ่ายบัญชีหรือสำนักงานบัญชีว่า "ไปทำตัวเลขมาให้ธุรกิจขาดทุนซะเลย จะะได้ไม่ต้องเสียภาษีไงละ วะฮะฮะฮ่าาาา" (เอ่อ.. อันนี้คนบ้านะครับ)
นี่แหละครับ!!! คือ เรื่องเข้าใจผิดที่เป็นปัญหาอย่างมากในการจัดการภาษีธุรกิจ เพราะว่าการเสียภาษีนั้นไม่ได้เกี่ยวกับ “กำไรหรือขาดทุนทางบัญชี” ที่ธุรกิจได้ทำมา แต่มันเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่า “กำไรขาดทุนสุทธิทางภาษี” ต่างหากล่ะจ้า
เอาล่ะครับ.. เรามาปรับทัศนคติกันใหม่
มาทบทวนกันอีกครั้งนะครับว่า กำไรของธุรกิจมาจากไหน?
"กำไรของธุรกิจ" มาจาก รายได้ หักด้วย ค่าใช้จ่าย ถ้ารายได้มากกว่าก็ถือว่าเป็น "กำไร" แต่ถ้ารายจ่ายมากกว่าก็กลายเป็น “ขาดทุน” หรือจะเขียนเป็นสมการง่ายๆออกมาได้ดังนี้ครับ
นั่นคือหลักการทั่วไปที่เราเข้าใจกันดีอยู่แล้ว (ถ้าใครไม่เข้าใจตรงนี้ต้องรีบทำความเข้าใจไว้ด้วยนะครับ ถือว่าพรี่หนอมขอร้องเลยล่ะ - -”) โดยหลักการทางบัญชีนั้น เราจะใช้ กำไร (ขาดทุน) สุทธิทางบัญชี คือ กำไรขาดทุนที่มาจาก รายได้ทางบัญชีหักด้วยค่าใช้จ่ายทางบัญชี หรือที่เราเห็นตัวเลขที่แสดงไว้ในงบกำไรขาดทุนนี่เองครับ
แต่สำหรับการคำนวณภาษีแล้ว เราไม่ได้สนใจเพียงแค่กำไรขาดทุนทางบัญชีเพียงอย่างเดียว เพราะเราสนใจ กำไร(ขาดทุน) ทางภาษี ต่างหากครับ!! ซึ่งเรียงลำดับมาได้ดังนี้ครับ
นั่นหมายความว่า!! การที่ธุรกิจของเรามีขาดทุนทางบัญชี มันไม่ได้หมายความว่าธุรกิจของเราจะไม่เสียภาษีนะครับ!!! เพราะกำไรสุทธิทางภาษี ไม่ใช่ กำไรสุทธิทางบัญชี (ขีดเส้นใต้ตรงนี้ไว้สิบห้าเส้นด่วนๆครับ)
แล้วกำไร (ขาดทุน) สุทธิทางภาษีคืออะไรกันล่ะ ?
กำไร (ขาดทุน) สุทธิทางภาษี คือ กำไรขาดทุนที่ใช้ในการคำนวณภาษี ซึ่งมาจาก รายได้ทางภาษีหักด้วยค่าใช้จ่ายทางภาษีออกมาเป็นตัวเลขกำไรหรือขาดทุนนั่นเองครับ
1) รายได้ที่ถือเป็นรายได้ทางภาษี คือ รายได้ที่ทางบัญชีไม่ถือเป็นรายได้แต่ต้องถือเป็นรายได้ทางภาษี
2) รายได้ที่ได้รับสิทธิยกเว้น คือ รายได้ที่ทางบัญชีถือเป็นรายได้ แต่ไม่ถือเป็นรายได้ทางภาษี
3) รายจ่ายต้องห้าม คือ รายจ่ายที่ทางบัญชีถือเป็นรายจ่าย แต่ไม่ถือเป็นรายจ่ายทางหลักภาษี
4) รายจ่ายที่หักได้เพิ่มขึ้น คือ รายจ่ายที่ทางภาษีกำหนดให้หักเป็นรายจ่ายได้มากกว่าหลักการบัญชี
ซึ่งรายการทั้ง 4 นี้
สามารถเขียนเป็นสมการปรับปรุงกำไรขาดทุนทางบัญชี
ให้เป็นกำไรขาดทุนทางภาษีออกมาดังนี้ครับ
กำไร (ขาดทุน) ทางภาษี
กำไร (ขาดทุน) ทางบัญชี + รายได้ที่ให้ถือเป็นรายได้ + รายจ่ายต้องห้าม - รายได้ที่ได้รับสิทธิยกเว้น - รายจ่ายที่หักได้เพิ่มขึ้น
และสิ่งที่ทำให้ธุรกิจหลายๆธุรกิจมีปัญหาเรื่องภาษี ก็เพราะตัวของเจ้าของธุรกิจเองนั้น ไม่รู้เลยว่าการปรับปรุงกำไร(ขาดทุน)ทางบัญชีเป็นกำไร(ขาดทุน)ทางภาษีนั้่นมีขั้นตอนแบบนี้ จึงทำให้ตัวเลขที่ทางบัญชีพยายามทำให้ขาดทุนโดยการเพิ่มรายจ่ายนั้น กลายเป็นรายจ่ายต้องห้ามที่ต้องมาบวกกลับในการคำนวณกำไรขาดทุนทางภาษีเสียนี่ (เช่น รายจ่ายส่วนตัวของเจ้าของ รายจ่ายค่ารับรอง ค่าใช้จ่ายต่างๆที่เกินกว่าหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดแล้วไม่ได้เกิดขึ้นจริง) แล้วแบบนี้ขาดทุนที่คุณพี่สร้างมาแทบตายมันจะมีประโยชน์อะไรกันล่ะคร้าบบบ
ดังนั้น การวางแผนภาษีธุรกิจที่ถูกต้องนั้นไม่ใช่การเพิ่มรายจ่ายธรรมดาครับ แต่เราต้องเพิ่มรายจ่ายที่สามารถเป็นรายจ่ายทางภาษีได้ (หักได้เพิ่มขึ้น) เช่น ค่าใช้จ่ายในการอบรมสัมมนา ค่าใช้จ่ายในการว่าจ้างคนพิการ หรือค่าใช้ต่างๆที่กฎหมายกำหนดให้เป็นรายจ่ายได้มากขึ้่นต่างหากครับ
หวังว่าอ่านบทความนี้จบแล้ว เจ้าของธุรกิจทั้งหลายจะเลิกพูดคำว่า “ไปทำตัวเลขให้ขาดทุน” ได้แล้วนะครับ ทั้งเพื่อความสุขของนักบัญชีเอง และความสุขในอนาคตที่ธุรกิจของเราจะไม่มีปัญหากับพี่สรรพากรอีกด้วยคร้าบบบบ
สุดท้ายแล้วการทำธุรกิจในรูปแบบนิติบุคคลแบบนี้อาจจะวุ่นวายและมีปัญหา ถ้าใครยังไม่ได้ตัดสินใจ ผมอยากแนะนำให้อ่านบทความที่มีชื่อว่า 3 เคล็ดลับวางแผนภาษีธุรกิจ ก่อนอีกครั้งเพื่อตัดสินใจนะคร้าบบบ
ที่มา:Link