ยุคนี้ไม่ว่าจะไปที่ไหน ก็มีแต่คนพูดถึง ‘ความคิดสร้างสรรค์’ ว่าเป็นทักษะสำคัญในการทำธุรกิจ แต่น่าแปลกที่หลายครั้งเราเองก็ยังไม่แน่ใจว่าเข้าใจความหมายของมันดีพอหรือยัง จริงๆ แล้ว ความคิดสร้างสรรค์คืออะไร อะไรคือทัศนคติที่คนทำธุรกิจในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนควรระลึกไว้ในใจ
1. ‘ความคิดสร้างสรรค์’ ไม่เหมือนกับ ‘จินตนาการ’
แน่นอนว่าความคิดสร้างสรรค์คือ สิ่งที่ทุกธุรกิจต้องมี แต่ก่อนจะพูดถึงการใช้ความคิดสร้างสรรค์ในธุรกิจ มาทำความเข้าใจกันก่อนว่า ความหมายที่แท้จริงของคำว่า ‘ความคิดสร้างสรรค์’ คืออะไร โดยเปรียบเทียบความแตกต่างของคำว่า ‘Creativity’ กับคำที่คนมักจะใช้สลับกันบ่อยๆ อย่างคำว่า ‘Imagination’ และ ‘Innovation’ ถ้าคุณฝันว่าคนสามารถลอยอยู่ในอากาศได้ นั่นคือ Imagination แต่ถ้าคุณคิดและสร้างอุปกรณ์ที่ทำให้คนสามารถลอยจากพื้นได้จริงๆ นั่นคือ Creativity และถ้าคุณ (หรือใครคนอื่น) นำอุปกรณ์ที่ว่านี้ มาพัฒนาให้ดีขึ้น ตอบโจทย์ความต้องการของคนมากขึ้น เช่น สามารถบังคับทิศทางบินได้ทุกทิศทางอย่างแม่นยำ ไม่ใช่แค่ลอยขึ้นจากพื้นเฉยๆ นั่นคือ Innovation
- Imagination คือ จินตนาการ ความฝันที่ยังไม่มีอยู่จริง
- Creativity คือ การคิดและสร้างสรรค์ให้สิ่งที่อยู่ในจินตนาการกลายเป็นจริง
- Innovation คือ การพัฒนาให้สิ่งที่มีอยู่ให้สามารถทำงานได้ดีขึ้นอีก
ดังนั้น เวลาพูดถึงความคิดสร้างสรรค์ จึงไม่ได้หมายถึงแค่การคิด แต่ต้องลงมือสร้างให้เกิดขึ้นจริงด้วย และที่สำคัญที่สุดก็คือ ความคิดสร้างสรรค์ เกิดขึ้นจากตัวเราเอง “หัวใจที่ผมอยากจะบอกก็คือว่า ความคิดสร้างสรรค์เป็นสิ่งที่เทคโนโลยีทำไม่ได้ มันเกิดจากคน แต่เทคโนโลยีเป็นแค่ตัวช่วยที่ทำให้ความคิดสร้างสรรค์นั้นเกิดขึ้น คือ Make the impossible possible (ทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้) หรือ Make the possible come faster (ทำสิ่งที่เป็นไปได้ให้เป็นจริงได้เร็วขึ้น)”
2. อยากมีความคิดสร้างสรรค์ ต้องเข้าใจความต้องการของคน ต่อเนื่องจากข้อแรก ถ้าความคิดสร้างสรรค์เกิดจากความคิดของมนุษย์ แล้วเราต้องทำยังไงล่ะ ถึงจะมีความคิดดีๆ อย่างนั้นบ้าง “คนไทยส่วนใหญ่พอได้ยินเราพูดถึงความคิดสร้างสรรค์ปุ๊บ เขาจะบอกว่าต้องจ้างคนนอก ต้องไปหาคนมาช่วยคิด ก็จะบอกเขาว่า ความคิดสร้างสรรค์มันเป็นคนละเรื่องกับดีไซน์ ดีไซน์อาจจะต้องใช้คนที่เรียนด้านนั้นมา แต่ความคิดสร้างสรรค์มันไม่ต้องจ้าง เราสามารถเรียนรู้และสร้างเองได้”
3. อย่าถามคนอื่นว่า “ทำอะไรดี” แต่จงถามตัวเองว่า “อยากทำอะไร”
ในโลกที่เทคโนโลยีมากมายกองอยู่ตรงหน้าและดูเหมือนว่าคนมากมายประสบความสำเร็จจากมัน หลายคนตื่นเต้นกับโอกาสเหล่านี้และพยายามจะมองหาคำตอบจากคนรอบตัวว่า “ทำอะไรดีถึงจะประสบความสำเร็จ” แต่คำตอบของคำถามนี้คือ อย่ามัวแต่มองออกไปข้างนอก ให้กลับมาถามตัวเองว่า “อยากทำอะไร” เพราะยุคนี้ทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น เทคโนโลยีมีพร้อมให้คุณหมดแล้ว “บางคนมองเทคโนโลยีแล้วอยากไขว่คว้า แต่ไม่ได้คิดว่าเทคโนโลยีมันคือสิ่งที่มาเสริม แต่คนที่ประสบความสำเร็จเขาไม่ได้เริ่มจากออกไปมองหาคำตอบจากข้างนอก เขาแค่คิดว่าตัวเองมีอะไรบางอย่างและมันตอบสนองความต้องการของคน แล้วใช้เทคโนโลยีมาช่วยให้ธุรกิจโตได้เท่านั้นเอง ดังนั้นอย่าถ่อมตัวเกินไป ขอแค่คุณขยันและมีแพชชั่นกับมันจริงๆ แล้วคุณจะแปลกใจว่าเทคโนโลยีช่วยให้มันไปได้ไกลขนาดไหน”
4. ความต้องการของมนุษย์เปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่ก็ไม่เคยเปลี่ยนเลย
ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาทั้งหมด มนุษย์ต้องการอะไรที่ดีขึ้น เร็วขึ้น และสะดวกขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีวันจบ สมัยก่อนส่งจดหมายใช้เวลาหนึ่งอาทิตย์ เดี๋ยวนี้ส่งอีเมลใช้เวลาเสี้ยววินาที แถมยังมีวิดีโอคอลที่ได้เห็นทั้งภาพและเสียง แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ก็ไม่เคยเปลี่ยน
5. อย่ามองว่าทุกคนเป็นคู่แข่งไปเสียหมด
ยุคนี้ใครๆ ก็บอกว่า การทำธุรกิจนั้นเต็มไปด้วยคู่แข่งรอบด้าน เพราะไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็มีแต่ธุรกิจที่มีแต่จะแย่ง ‘เวลา’ ของผู้บริโภคไปจากเราทั้งนั้น เช่น ละครโทรทัศน์ก็ไม่ได้มีแค่คู่แข่งทางตรงอย่างละครของช่องอื่น โรงภาพยนตร์ เน็ตฟลิกซ์ หรือคอนเทนต์บนยูทูบเท่านั้น แต่ยังรวมถึงบรรดาร้านค้าออนไลน์บนโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งเกมออนไลน์ สำหรับ LINE ที่มีสารพัดธุรกิจอยู่ในมือ ไม่อยากให้มองว่าคนอื่นเป็นคู่แข่ง “เหตุผลแรกเพราะผมคิดว่าโลกข้างนอกยังมีอะไรให้ทำอีกเยอะมาก มันไม่มีคำว่า ‘คู่แข่ง’ และก็ไม่มีคำว่า ‘เพื่อน’ ถาวรเหมือนกัน
โลกตอนนี้ แม้แต่ธนาคารด้วยกันเองยังมีทั้งจับมือและแข่งกันเลย ถ้าคุณมีธุรกิจ 30 อย่างแล้วจับมือกับธนาคาร A ถามว่าคุณต้องผูกขาดกับธนาคารนี้ทั้ง 30 ธุรกิจหรือเปล่า คุณคงไม่ทำอย่างนั้น มันไม่มีกฎที่ต้องผูกขาดกันแบบเดิมอีกแล้ว…หรืออย่างเราทำ LINE MAN คนอื่นก็มี Grab มี GET มี Lalamove ตอนนี้ Lalamove ก็มาจับมือกับเรา แต่เขาก็ยังวิ่งของเขานะ แต่ก็ใส่แจ็กเก็ตเขียววิ่งในฐานะ LINE MAN ด้วย เพราะเขาเห็นว่าวิ่งกับเราก็ได้เพิ่มฐานลูกค้า ดังนั้นมันไม่มีการแบ่งพรรคแบ่งพวก ไม่มีการจับกลุ่มแล้วผูกกันไปตลอดอีกแล้ว ถามว่าการจับมือกันแบบนี้มันเยอะไปไหม ในแง่ของแบรนด์เราไปตัดสินเองไม่ได้ว่ามันมากเกินไปสำหรับผู้บริโภคหรือเปล่า ต้องลองทำไปก่อน แล้วสุดท้ายผู้บริโภคจะเป็นผู้เลือกเอง”
Cr.smeone