ที่มาของรายได้ในการประกอบธุรกิจส่วนใหญ่เกือบจะมากกว่าครึ่งมักจะมาจากการจำหน่ายสินค้าแทบทั้งสิ้น การหมุนเวียนของสินค้าจึงถูกผูกโยงกับการไหลเข้าออกของเงินในกระแสคงคลังของบริษัทไปโดยปริยาย ซึ่งความสามารถในการขายสินค้าของลูกค้าที่มารับสินค้าไปจากคุณมีส่วนสำคัญต่อสถานะทางการเงินภายในบริษัทของคุณเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในกรณีที่มีการใช้เครดิตขอรับสินค้าไปขายก่อนล่วงหน้าแล้วเมื่อขายได้จึงค่อยส่งเงินมาชำระคืนให้ในภายหลัง มิหนำซ้ำมันยังเป็นตัวช่วยบอกให้กับผู้ประกอบการได้ทราบอีกด้วยว่าสินค้าของคุณได้รับความนิยมในตลาดมากขนาดไหนอีกต่างหาก
ซึ่งวิธีการตรวจสอบความสามารถในการขายสินค้าของเหล่าบรรดาลูกค้าที่มารับสินค้าจากคุณไปขายนั้น สามารถทำได้จากการหาอัตราการหมุนของสินค้าหรือที่เรียกกันว่า Inventory Turnover โดยมีขั้นตอนดังนี้
ขั้นแรกคือให้ผู้ประกอบการนำต้นทุนของสินค้ามาเป็นตัวตั้งก่อน หลังจากนั้นจึงไปตรวจสอบหายอดสินค้าคงเหลือภายในคลังของลูกค้าที่มารับสินค้าของคุณไปขาย เมื่อได้ข้อมูลทางตัวเลขทั้งหมดมาแล้ว ผู้ประกอบการจึงค่อยนำราคาต้นทุนของสินค้านำมาเป็นตัวตั้งแล้วจึงหารด้วยจำนวนสินค้าคงเหลือตามหลักสมการด้านล่างนี้
โดยหากผลลัพธ์ที่ได้ออกมามีค่าเป็นบวกมากยิ่งขึ้นเท่าไหร่นั่นแสดงว่าสินค้าของคุณได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงและสามารถขายได้อย่างรวดเร็ว แต่ถ้าหากมีเปอร์เซ็นต์ที่น้อยนั่นแสดงว่าสินค้าขายไม่ค่อยได้และอาจจะตกยุคหรือไม่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคเท่าที่ควร
ตัวอย่างที่ 1
นาย B มาขอเครดิตสินค้าของผู้ประกอบการ A ไปขายเพิ่มอีกล็อตหนึ่ง โดยสินค้าชุดดังกล่าวเป็นเวอร์ชัน Type1และยังไม่ได้จ่ายชำระค่าสินค้าที่เครดิตไปล็อตที่แล้วเลยแม้แต่บาทเดียว โดยสินค้าชิ้นดังกล่าวมีต้นทุนอยู่ที่ชิ้นละ 15 บาท และจากการตรวจสอบทำให้ผู้ประกอบการทราบว่ายังคงมีสินค้าตัวนี้ค้างอยู่ในสต็อกของนาย B ประมาณ 1,500 ชิ้น จากข้อมูลดังกล่าวสามารถนำมาคำนวณหาอัตราการหมุนสินค้าได้ดังนี้
ตัวอย่างที่ 2
จากตัวอย่างที่ 1 พร้อมกันนี้นาย B ก็ยังได้ขอเครดิตสินค้าจากทางผู้ประกอบการ A ไปขายเพิ่มพร้อมกันอีกล็อตหนึ่งด้วย แต่เป็นเวอร์ชัน Type2 และยังไม่ได้มีการชำระค่าสินค้าที่เครดิตไปงวดที่แล้วเลยแม้แต่บาทเดียวเหมือนกับสินค้าในเวอร์ชัน Type1 ซึ่งสินค้าทั้ง 2 เวอร์ชันมีราคาต้นทุนที่เท่ากันคืออยู่ที่ 15 บาท แต่แตกต่างกันตรงที่จาการตรวจสอบเวอร์ชัน Type2 มีสินค้าค้างอยู่ในสต็อก 200 ชิ้น และนำมาคำนวณวิธีอัตราหมุนของสินค้าได้ ดังนี้
จากการคำนวณสินค้าที่มีราคาเท่ากันในทั้ง 2 เวอร์ชันทำให้ทราบว่า สินค้าในเวอร์ชัน Type1 นั้นไม่ประสบความสำเร็จในการขายและทำตลาดเลย เพราะมีค่าบวกที่ต่ำมากๆ เพียงแค่ 0.010 เท่านั้น ในขณะที่ เวอร์ชัน Type2 มีผลลัพธ์อยู่ที่ 0.075 ซึ่งถือว่ามีค่าบวกที่พอรับได้และมากกว่า Type1 เยอะมาก ดังนั้นผู้ประกอบการ A สมควรที่จะต้องให้เครดิตนาย B ในการนำสินค้าเวอร์ชัน Type2 เอาไปขายต่อไปอีก และพร้อมกันนี้จะต้องหยุดการให้เครดิตในเวอร์ชัน Type1 โดยทันทีเพราะมีอัตราการหมุนของสินค้าที่ต่ำมากนั่นเอง
ถึงแม้ผู้ประกอบการจะดำเนินการขายสินค้าผ่านทางตัวแทนจำหน่ายหรือพ่อค้าคนกลางก็ตาม แต่คุณก็มิอาจจะละเลยในเรื่องของการตรววจสอบดูอัตราการหมุนของสินค้าที่ลูกค้าเหล่านี้มาขอเครดิตไปจากคุณได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว เพราะตัวเลขทางสถิติที่ได้จากการคำนวณหาอัตราหมุนของสินค้านั้น จะสามารถบ่งบอกค่าความนิยมของสินค้าคุณในท้องตลาดได้ด้วย ซึ่งนั่นจะเป็นข้อมูลที่ใช้ในการพัฒนาสินค้าให้ได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้นไปอีกในอนาคตนั่นเอง
ที่มา : INCquity