“Blessings are on the head of the righteous, but the speech of the wicked conceals violence. The memory of the righteous is a blessing, but the reputation of the wicked will rot.”
“If you think you are the entire picture, you will never see the big picture.” ถ้าคุณคิดว่าตัวคุณคือตัวภาพทั้งหมด คุณจะไม่มีวันมองเห็นภาพใหญ่ของภาพนั้น เป็นคำพูดของ John C. Maxwell ที่อธิบายให้ผู้นำผู้บริหารเข้าใจว่า เราไม่สามารถเป็นทุกอย่างในภาพใหญ่ได้ทั้งหมด เพราะภาพแต่ละภาพมีองค์ประกอบหลายส่วนที่มีรูปลักษณ์ ขนาด สีสันที่แตกต่างกันเข้ามารวมกันเป็นภาพใหญ่ ทำให้ภาพมีความลงตัว เกิดความสวยงาม หรือมีความน่าสนใจมากขึ้น เช่นเดียวกับการเป็นผู้นำผู้บริหารองค์กร ที่ไม่สามารถไปทำทุกเรื่องทุกอย่างในองค์กรด้วยตนเองได้ทั้งหมด เพราะองค์กรมีองค์ประกอบหลายส่วน หลายลักษณะ หลายขนาด หลายหน้าที่ ที่แตกต่างกัน แต่รวมกันทำหน้าที่ของมันเพื่อให้องค์กรขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายความสำเร็จ ผู้นำผู้บริหารจำนวนมากเมื่อเข้าสู่ตำแหน่งมักคิดถึงอำนาจที่มากับตำแหน่งมากกว่าความรับผิดชอบที่มากับตำแหน่ง และมักใช้อำนาจที่มีคู่กับตำแหน่งไปในทางที่เกิดประโยชน์ต่อความสำเร็จของตนเองโดยขาดจิตสำนึกว่า การเป็นผู้นำหมายถึงการมีความรับผิดชอบต่อการตัดสินใจของตนที่มีผลทำให้เกิดทั้งผลดีและผลเสียต่อองค์กรและบุคลากร ความสำเร็จหรือความล้มเหลวที่เกิดขึ้นจากการใช้อำนาจของตน ทั้งทางตรงหรือทางอ้อมที่มีผลกระทบต่อองค์กรและบุคลากรในองค์กร เป็นความรับผิดชอบโดยตรงของผู้นำผู้บริหาร มีคำกล่าวว่า “A group needs a strategy” กลุ่มจำเป็นต้องมียุทธศาสตร์ หมายถึงเมื่อมีคนมากกว่าหนึ่งคนมารวมตัวกันเป็นกลุ่ม ถ้าต้องการให้คนในกลุ่มทำงานอย่างได้ผลและมีประสิทธิภาพ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมียุทธศาสตร์ เพราะถ้าไม่มียุทธศาสตร์กำกับการทำงาน คนในกลุ่มจะทำงานตามความพอใจของตนเอง การทำงานย่อมไม่เกิดผล และไม่มีประสิทธิภาพ Michael Dell ผู้ก่อตั้งและเป็นผู้บริหารสูงสุดของบริษัท Dell Inc. ที่ผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์จำหน่ายทั่วโลกกล่าวว่า “You have to show that you know the way, even if you have no idea what to do.” คุณต้องแสดงให้คนรู้ว่าคุณรู้จักทางที่จะไป แม้ว่าในขณะนั้นคุณยังไม่รู้ว่าคุณจะทำอะไร ผู้นำผู้บริหารจะต้องรู้ว่าตนเองกำลังจะนำองค์กรไปทางไหนก่อน แล้วถึงมากำหนดสิ่งที่ต้องทำเพื่อนำองค์กรให้เดินไปตามทิศทางนั้น Robert l. Joss ยกตัวอย่างเรื่องความชัดเจนในการบริหารคณะบริหารธุรกิจที่เขาเป็นคณบดีว่า ถ้าจะบอกว่าคณะบริหารธุรกิจของเราจะเป็นคณะที่ยิ่งใหญ่ ผู้ร่วมงานในคณะจะยังไม่รู้ชัดเจนว่าคณะของเราจะไปทางใด ยังไม่เกิด sense of direction ว่าคณะบริหารธุรกิจจะยิ่งใหญ่ได้อย่างไร เพราะเป็นคำพูดที่กว้างเกินไป แต่ถ้าเราพูดว่าคณะบริหารธุรกิจของเราจะใช้ยุทธศาสตร์ 3 Cs ใหม่ คือ a new Curriculum มีหลักสูตรการเรียนใหม่ a new Collaboration มีความร่วมมือใหม่ และ a new Campus มีวิทยาเขตใหม่ คนจะมองเห็นชัดเจนมากขึ้นว่ายุทธศาสตร์ 3Csใหม่จะนำให้คณะบริหารธุรกิจเป็นคณะที่ยิ่งใหญ่ได้ การได้รับความไว้วางใจและความเคารพนับถือเป็นเรื่องสำคัญ (Earning trust and respect is crucial) เพราะผู้นำผู้บริหารแม้จะมีอำนาจตามตำแหน่งแต่ไม่สามารถทำให้งานที่ตนเองรับผิดชอบประสบความสำเร็จได้ ถ้าขาดความร่วมมือจากผู้ร่วมงาน ดังนั้นการได้รับความไว้วางใจและความเคารพนับถือจากผู้ร่วมงานจึงเป็นหัวใจสำคัญของการเป็นผู้นำ เพราะสิ่งที่ผู้นำผู้บริหารต้องการคือ ผู้ร่วมงานที่มีแรงบันดาลใจ (Inspired) ผู้ร่วมงานที่ทุ่มเท (Committed) ผู้ร่วมงานที่มีพลังใจ (Motivated) และ ผู้ร่วมงานที่ให้ความร่วมมือ (cooperated) การแสดงบทบาทความเป็นผู้นำที่จริงจังและจริงใจ ทุ่มเทไม่ท้อแท้ แน่วแน่ไม่ยอมแพ้ อดกลั้นและอดทน เสียสละและสัตย์ซื่อ จะทำให้ผู้ร่วมงานยอมรับในความเป็นผู้นำ มีความไว้วางใจ และให้การเคารพนับถือ คุณสมบัติหลักในการเป็นผู้นำคือต้องมีความเชื่อถือได้ เพราะถ้าตัวผู้นำไม่มีความน่าเชื่อถือ ความเป็นผู้นำก็หมดไป ถ้าผู้ร่วมงานไม่ยอมรับ ไม่ไว้วางใจ ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งหรือคำขอร้อง ความเชื่อถือในตัวผู้นำเกิดจากการที่ผู้นำมีความรับผิดชอบในสิ่งที่พูดและทำ พูดสิ่งใดปฏิบัติสิ่งนั้น (Walk the talk) ไม่พูดลวงแบบโกหกสีขาว (White lies) พูดความจริงและทำทุกสิ่งอย่างตรงไปตรงมา ไม่หลอกใช้ผู้ร่วมงาน มีจริยธรรม มีจรรยาบรรณในการทำงาน ความเป็นผู้นำที่เข้มแข็งไม่ได้หมายความว่าไม่มีความยืดหยุ่น (Flexibility) ในการปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์และสิ่งแวดล้อม เพียงแต่การปรับตัวต้องเป็นไปตามความมีเหตุและผล และเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมไม่ใช่เพื่อประโยชน์ส่วนตน ในโลก online สื่อสารกันผ่านทาง Social network ผู้นำผู้บริหารต้องทำใจเปิดกว้างรับรู้ความรู้สึกของผู้ร่วมงานที่แสดงออกในช่องทางสื่อสารที่นิยมกันอย่างแพร่หลายในเวลานี้ ผู้นำผู้บริหารจำเป็นต้องเปิดช่องทางให้มีการสื่อสารได้อย่างเปิดเผย เพื่อจะได้รับรู้ช่องว่างของการสื่อสาร (Communication Gap) ความเข้าใจระหว่างผู้นำผู้บริหารกับผู้ร่วมงาน และแก้ไขความไม่เข้าใจกันโดยเร็วที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความไม่ไว้วางใจในตัวผู้นำผู้บริหาร การแสดงความคิดเห็นอย่างเปิดเผยดีกว่าการสร้างข่าวลือ เขียนบัตรสนเท่ห์ ใส่ร้ายป้ายสี ซึ่งเป็นการยากที่ผู้นำผู้บริหารจะตามไปสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องได้ เพราะไม่รู้ว่าต้นตอที่แท้จริงของความไม่เข้าใจกันเกิดขึ้นจากจุดใด ถ้ามีผู้ร่วมงานแสดงความคิดเห็นในทำนองเดียวกันเกิดขึ้นมากกว่าหนึ่งคน ผู้นำผู้บริหารควรให้ความสนใจในทันที เพื่อแก้ไขปัญหา ณ จุดนั้น ไม่ควรปล่อยให้ปัญหาลุกลามจนยากต่อการแก้ไขในภายหลัง ผู้นำผู้บริหารต้องเข้าใจว่าบทบาทการเป็นผู้นำไม่ใช่เป็นเรื่องที่ผู้นำผู้บริหารแสดงเกี่ยวกับตัวผู้นำผู้บริหารเอง แต่เป็นบทบาทที่ผู้นำผู้บริหารแสดงเกี่ยวกับงานขององค์กร สิ่งที่ผู้นำผู้บริหารทำ เป็นการทำหน้าที่แสดงบทบาทที่เกี่ยวกับองค์กร ไม่ใช่แสดงบทบาทเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวหรือครอบครัว และนี่เป็นจุดอ่อนของผู้นำผู้บริหารที่แยกตัวเองไม่ออกระหว่างความเป็นส่วนตัวกับความเป็นส่วนองค์กร ทำให้ผู้นำผู้บริหารองค์กรหลายท่านบริหารองค์กรเหมือนกับเป็นของส่วนตัว ปล่อยให้คนในครอบครัวเข้ามาแสดงบทบาทยุ่งเกี่ยวในงานขององค์กร จนเกิดเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of interest) ยุ่งเหยิงปะปนกันไปหมด ผู้นำผู้บริหารจึงต้องกำหนดเส้นแบ่งเขตบทบาทที่เกี่ยวกับองค์กร กับบทบาทที่เกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวและครอบครัวไว้ให้ชัดเจน เพราะบทบาทหลักของผู้นำผู้บริหารเป็นบทบาทที่เกี่ยวกับองค์กร เพราะผู้นำผู้บริหารแสดงบทบาทในการเป็นตัวแทนหรือสัญญาลักษณ์ (Symbolic) ขององค์กร
การก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำผู้บริหารอาจจะไม่ใช่เรื่องยากเมื่อมีโอกาส แต่จะทำงานในตำแหน่งผู้นำผู้บริหารอย่างไรให้สมกับการได้รับความไว้วางใจให้เข้ามารับผิดชอบในตำแหน่งเป็นเรื่องยากกว่า เพราะผู้นำผู้บริหารมีความท้าทายเฉพาะหน้าคือ จะต้องใช้ความสามารถอย่างมากในการทำให้องค์กรมีสภาพที่ดีกว่าตอนที่เข้ามารับตำแหน่งเมื่อถึงเวลาที่จะต้องออกจากตำแหน่ง (Leave the organization in the better shape) คืออย่างน้อยที่สุดต้องทำให้สถานะภาพขององค์กรดีกว่าที่ผู้นำผู้บริหารคนก่อนทำไว้ ก่อนที่เราจะเข้ามารับตำแหน่ง เพราะผู้ที่ให้โอกาสแก่เราทุกคนมีความคาดหวังอย่างนั้น รวมทั้งผู้ร่วมงานในองค์กรมีความคาดหวังว่าเจ้านายใหม่จะต้องมีฝีมือความสามารถดีกว่าเจ้านายคนก่อน เป็นความกดดันที่ผู้นำผู้บริหารจะต้องยอมรับ และถือว่าเป็นการท้าทายความสามารถในการเป็นผู้นำผู้บริหารของตน อย่างที่ Albert Einstein ได้กล่าวว่าคนที่ไม่มีความผิดพลาดคือคนที่ไม่เคยลองทำอะไรใหม่เลย (Anyone who has never made a mistake has never tried anything new.) ความผิดพลาดในการทำงานจึงเป็นเรื่องปกติ และผู้นำผู้บริหารก็มีโอกาสทำงานผิดพลาดได้ในการบริหารงาน เพราะผู้นำผู้บริหารไม่ใช่ Super Hero ที่เก่งไปเสียหมดทุกด้าน ผู้นำผู้บริหารมีจุดด้อยจุดอ่อนเหมือนคนทั้งหลาย เพียงแต่ผู้นำผู้บริหารจะต้องมีความไวต่อการรับรู้ว่ากำลังตัดสินใจทำในสิ่งที่ผิดพลาด และพลิกกลับมาแก้ไขสถานการณ์อย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้ความเสียหายจากความผิดพลาดขยายผลต่อไป การเรียนรู้จากความผิดพลาดทำให้ผู้นำผู้บริหารมีความแข็งแกร่งขึ้น มีความอดทนมากขึ้น มีความละเอียดในการวิเคราะห์ปัญหามากขึ้น มีความรอบคอบเฉลียวใจมากขึ้น เพราะความล้มเหลวเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จ ความผิดพลาดแต่ละครั้งสอนบางสิ่งให้แก่เรา (Failure is the key to success; each mistake teaches us something.) ผู้นำผู้บริหารคือแบบอย่างการปฏิบัติขององค์กร ผู้ร่วมงานในองค์กรมองผู้นำผู้บริหารเป็นต้นแบบในการปฏิบัติงานและปฏิบัติตน จึงไม่มีอะไรดีไปกว่าการที่ผู้นำผู้บริหารจะสร้างตัวอย่างที่ดีให้ผู้ร่วมงาน เพราะผู้นำผู้บริหารเป็นอย่างไรคนในองค์กรก็เป็นอย่างนั้น ผู้นำผู้บริหารเป็นคนตรงต่อเวลา ผู้ร่วมงานไม่กล้ามาสาย ผู้นำผู้บริหารสัตย์ซื่อต่อต้านการรับสินบน ผู้ร่วมงานไม่กล้ารับของกำนัล ผู้นำผู้บริหารใช้ธรรมาภิบาลปกครอง ลูกน้องก็มีธรรมาภิบาลตามด้วย Mitt Romney กล่าวว่า “Leadership is about taking responsibility, not making excuses.” ความเป็นผู้นำ เป็นเรื่องการรับผิดชอบไม่ใช่เรื่องการแก้ตัว
ท่านยอมรับความรับผิดชอบในการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดขึ้น หรือยอมให้สิ่งที่เกิดขึ้นเปลี่ยนแปลงท่าน
บทความโดย : คุณวิโรจน์ เย็นสวัสดิ์ | Facebook ที่มา : สมชัย ศิริสุจินต์ |