เพราะวันนี้ผู้บริโภคไม่ไว้ใจในโฆษณาอีกต่อไปแล้ว การตลาดพลังบอกต่อปากต่อปากหรือ Word of mouth จึงเป็นรูปแบบการโฆษณาที่ดีและน่าเชื่อถือมากที่สุดในขณะนี้ ดังนั้นเรื่องราวของ WOMM หรือ Word of Mouth Marketing จึงเป็นเรื่องสำคัญที่นักการตลาดไม่ควรมองข้าม
แม้วันนี้การทำการตลาดในปัจจุบันธุรกิจส่วนใหญ่มักให้ความสำคัญไปที่การทำการตลาดโดยใช้สื่อดิจิทัล ทั้งโซเชียลมีเดีย, อีเมลหรือช่องทางออนไลน์ต่างๆ จนอาจทำให้หลงลืมและมองข้ามวิธีดั้งเดิมที่ทรงอิทธิพลอย่างการบอกต่อแบบ “ปากต่อปาก” ไปโดยสิ้นเชิง แต่ในความจริงแล้วกลยุทธ์ปากต่อปากนี่เองที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดต่อกลุ่มของผู้บริโภคไม่ว่าจะยุคสมัยไหนก็ตาม
การทำการตลาดแบบ “ปากต่อปาก” (WOMM หรือ Word of Mouth Marketing) เป็นรูปแบบในการทำการตลาดที่มีการใช้งานกันมาอย่างยาวนาน โดยนักการตลาดส่วนใหญ่มักจะนำกลยุทธ์ปากต่อปากมาใช้งานเมื่อต้องการสร้างกระแสให้กับสินค้าและการบริการของตัวเองเพื่อให้เป็นที่รู้จักเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากเป็นรูปแบบในการทำการตลาดที่ได้ผลในวงกว้าง แถมสามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วแถมยังใช้เงินลงทุนต่ำ
จากการสำรวจข้อมูลของเว็บไซต์ Getambassador.com ระบุว่ากลยุทธ์การทำตลาดโดยการบอกต่อแบบปากต่อปากยังคงเป็นวิธีที่มีอิทธิพลต่อผู้บริโภคในการซื้อสินค้าสูงสุดเป็นอันดับที่ 1 ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนอยู่ที่ 54% ในขณะที่การตลาดรูปแบบอื่นอย่าง การทำโฆษณาทางวิทยุ, ทีวี หรือแม้แต่การส่งจดหมายกลับมีอิทธิพลในการกระตุ้นการซื้อสินค้ารองลงมาเพียงครึ่งหนึ่งของกลยุทธ์แบบปากต่อปากเท่านั้น
Getambassador.com ยังพบว่า ในแต่ละวันชาวอเมริกันมีการพูดถึงและบอกต่อเกี่ยวกับสินค้าเป็นสัดส่วนมากถึง 76% ของผู้บริโภคทั้งหมด โดยมีการพูดถึงแบรนด์สินค้าเฉลี่ยอยู่ที่ 10 แบรนด์ต่อวัน ซึ่งกว่า 70% ของแบรนด์ที่ถูกพูดนี้ถึงมาจากการบอกต่อและแนะนำแบบปากต่อปากนั่นเอง
นอกจากนี้อิทธิพลของการบอกต่อแบบปากต่อปากในด้านบวกนั้น ยังสามารถแพร่กระจายไปได้ไวและรวดเร็วกว่าข่าวในด้านลบถึง 6 เท่าตัว ซึ่งอิทธิพลของการบอกปากต่อปากนี้เองพบว่าเป็นส่วนสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการซื้อสินค้าของผู้บริโภคคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 90% ของผู้บริโภคทั้งหมดเลยทีเดียว
เมื่อรู้แบบนี้แล้ว การมองหาจุดเชื่อมต่อระหว่างดิจิทัลมาร์เก็ตติงและกลยุทธ์ดั้งเดิมอย่าง “การบอกต่อปากต่อปาก” ก็ถือเป็นเรื่องที่นักการตลาดทุกคนไม่ควรพลาด
บทความโดย : Thumbsup in Thailand